Web Analytics
No module Published on Offcanvas position

Collection Tubes : หลอดเก็บตัวอย่างเลือดฝาแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร

หลอดเก็บตัวอย่างเลือดฝาแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างของหลอดเก็บตัวอย่างเลือดแต่ละสีมีความสำคัญและการใช้งานในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ในกระบวนการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ การเก็บตัวอย่างเลือดเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้ การเลือกใช้หลอดเก็บตัวอย่างเลือดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น หลอดเก็บเลือดมีหลายสี ซึ่งแต่ละสีไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม แต่สะท้อนถึงสารเคมีภายในหลอดและวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับหลอดเก็บตัวอย่างเลือดแต่ละสี พร้อมทั้งอธิบายถึงความสำคัญและการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ

  1. หลอดฝาสีแดง (Serum Tube)

หลอดฝาสีแดงเป็นหนึ่งในหลอดเก็บเลือดที่พบได้บ่อยที่สุดในห้องปฏิบัติการ มักใช้สำหรับการตรวจวิเคราะห์ที่ต้องการเซรุ่ม (serum) ซึ่งเป็นส่วนของเลือดที่แยกออกจากเม็ดเลือดแดงและโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด

  • สารเคมีภายใน: ไม่มีสารกันเลือดแข็ง (ไม่มี anticoagulant)
  • วิธีการทำงาน: เมื่อเจาะเลือดใส่ในหลอดสีแดง เลือดจะถูกปล่อยให้แข็งตัวเองตามธรรมชาติ จากนั้นจึงนำไปปั่นแยกเซรุ่มออกมา
  • การใช้งาน:
    • การตรวจเคมีในเลือด เช่น ระดับน้ำตาล (glucose), ไขมัน (lipid profile), และเอนไซม์ตับ
    • การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor markers) เช่น PSA สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก
    • การตรวจระดับฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ (T3, T4, TSH)
  1. หลอดสีเหลือง (Gel Separator Tube)

หลอดฝาสีเหลืองคล้ายกับหลอดสีแดง แต่มีเจลแยกเซรุ่มอยู่ภายใน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการแยกเซรุ่มออกจากเม็ดเลือดแดง

  • สารเคมีภายใน: เจลแยกเซรุ่มและสารช่วยให้เลือดแข็งตัว (clot activator)
  • วิธีการทำงาน: หลังจากปั่นหลอด เจลจะลอยขึ้นมาเป็นชั้นกั้นระหว่างเซรุ่มและเม็ดเลือดแดง ทำให้สามารถแยกเซรุ่มออกมาได้ง่ายขึ้น
  • การใช้งาน:
    • ใช้สำหรับการตรวจเคมีในเลือดเช่นเดียวกับหลอดสีแดง
    • เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการความรวดเร็วในการแยกเซรุ่ม 
  1. หลอดฝาสีม่วง (EDTA Tube)

หลอดฝาสีม่วงเป็นหลอดที่ใช้กันมากที่สุดในการตรวจโลหิตวิทยา (hematology) เนื่องจากสามารถรักษาสภาพของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดได้ดี

  • สารเคมีภายใน: EDTA (Ethylenediaminetetraacetic acid) ซึ่งเป็นสารกันเลือดแข็ง
  • วิธีการทำงาน: EDTA จะจับกับแคลเซียมในเลือด ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดหยุดลง
  • การใช้งาน:
    • การตรวจนับเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
    • การตรวจหมู่เลือด (Blood Typing)
    • การตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม เช่น PCR หรือ NGS
  1. หลอดฝาสีฟ้า (Citrate Tube)

หลอดฝาสีฟ้าเป็นหลอดที่ใช้สำหรับการตรวจระบบการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด

  • สารเคมีภายใน: Sodium Citrate 3.2% หรือ 3.8%
  • วิธีการทำงาน: Sodium Citrate จะจับกับแคลเซียมในเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการแข็งตัว
  • การใช้งาน:
    • การตรวจ PT (Prothrombin Time) และ APTT (Activated Partial Thromboplastin Time)
    • การประเมินความผิดปกติของระบบแข็งตัวของเลือด เช่น โรคฮีโมฟีเลีย
    • การติดตามผลของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน
  1. หลอดฝาสีเขียว (Heparin Tube)

หลอดฝาสีเขียวเหมาะสำหรับการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิก โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้พลาสมาแทนเซรุ่ม

  • สารเคมีภายใน: Heparin ซึ่งเป็นสารกันเลือดแข็ง
  • วิธีการทำงาน: Heparin จะยับยั้งเอนไซม์ thrombin และ factor X ในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
  • การใช้งาน:
    • การตรวจแก๊สในเลือด (Arterial Blood Gas: ABG)
    • การตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์ เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม
    • การตรวจระดับฮอร์โมนบางชนิด
  1. หลอดฝาสีเทา (Fluoride Tube Fluoride Tube; NaF Tube)

หลอดฝาสีเทาออกแบบมาเพื่อป้องกันกระบวนการ glycolysis ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้ำตาลในเลือดถูกเผาผลาญโดยเซลล์เม็ดเลือดแดงหลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว

  • สารเคมีภายใน: Sodium Fluoride และ Potassium Oxalate
  • วิธีการทำงาน: Sodium Fluoride จะหยุดกระบวนการ glycolysis เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในตัวอย่างให้นิ่ง
  • การใช้งาน:
    • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar, Glucose Tolerance Test)
    • การตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด
  1. หลอดฝาสีดำ (Erythrocyte Sedimentation Rate Tube; ESR Tube)

หลอดฝาสีเทาออกแบบมาเพื่อป้องกันกระบวนการ glycolysis ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้ำตาลในเลือดถูกเผาผลาญโดยเซลล์เม็ดเลือดแดงหลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว

  • สารเคมีภายใน: Sodium Citrate
  • วิธีการทำงาน: Sodium Citrate ทำงานโดยการจับกับแคลเซียมในเลือดและสร้างเป็น calcium citrate ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เลือดเกิดกระบวนการแข็งตัว (coagulation)
  • การใช้งาน:
    • การตรวจวัดอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงสำหรับการตรวจสอบภาวะอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบ, โรคติดเชื้อ, และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

 

นอกเหนือจากหลอดพื้นฐานสำหรับเก็บตัวอย่างข้างต้นแล้ว สำหรับการตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ โดยใช้ cell-free DNA (cfDNA) ที่อยู่ในเลือดของแม่ หลอดเก็บตัวอย่างที่เหมาะสมต้องสามารถ รักษาคุณภาพของ cfDNA (cell-free DNA) ไว้ได้ดี และป้องกันการเสื่อมสภาพของตัวอย่างที่จะนำไปวิเคราะห์ด้วย Next-Generation Sequencing (NGS) การเลือกหลอดเก็บตัวอย่างเลือดที่เหมาะสมมีความสำคัญ หลอดที่เหมาะสมมีดังนี้

 หลอดฝาสีม่วง (EDTA Tube)

  • สารเคมีภายใน: K2EDTA หรือ K3EDTA
  • วิธีการทำงาน: EDTA จะจับกับแคลเซียมในเลือด ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดหยุดลง ช่วยรักษา DNA ให้อยู่ในสภาพดี ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนจากเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แตก (Hemolysis)
  • การใช้งาน
    • ตัวอย่างสามารถเก็บไว้ที่ 4°C ได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนการสกัด DNA
    • สามารถใช้เก็บเลือดสำหรับตรวจ cfDNA ได้ แต่ต้องแยกพลาสมาภายใน 8 ชั่วโมง หลังจากเก็บตัวอย่าง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของ DNA จากเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC)
    • ไม่เหมาะ ในการขนส่งหรือเก็บตัวอย่างเป็นเวลานาน แต่หากสามารถแยกพลาสมาได้อย่างรวดเร็วภายใน 6 ชั่วโมง ก็สามารถใช้หลอด EDTA ได้

 หลอดฝาสีน้ำตาลายดำ (Streck Cell-Free DNA BCT Tube หรือ Streck Tube )

  • สารเคมีภายใน: K3EDTA และ  สารยับยั้งนิวคลีเอส (Nuclease Inhibitors), สารยับยั้งเมแทบอลิซึม (Metabolic Inhibitors) และสารรักษาสภาพเซลล์ในรูปของเหลว (Cell Preservative)
  • วิธีการทำงาน: EDTA จะจับกับแคลเซียมในเลือด ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดหยุดลง Nuclease Inhibitors จะยับยั้งนิวคลีเอสที่ช่วยป้องกันการสลายของ cfDNA โดยเอนไซม์นิวคลีเอส ซึ่งอาจทำให้ cfDNA เสื่อมสภาพ  และ Metabolic Inhibitors ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ป้องกันไม่ให้เซลล์เหล่านี้ปล่อย DNA ของแม่ออกมาในตัวอย่าง Cell Preservative สารที่ช่วยรักษาสภาพเซลล์ในตัวอย่าง ช่วยป้องกันการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
  • การใช้งาน
    • ประกอบด้วยสารกันเลือดแข็งตัว K3EDTA, สารยับยั้งนิวคลีเอส, สารยับยั้งกระบวนการเมแทบอลิซึม และสารรักษาสภาพเซลล์ในรูปของเหลว
    • ใช้สำหรับเก็บ cell-free DNA (cfDNA) ในพลาสมา เช่น การตรวจ Liquid Biopsy หรือ Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT)
    • ป้องกันการแตกของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ซึ่งช่วยลดการปนเปื้อนของ gDNA
    • เป็นหลอดที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการเก็บ cell-free DNA (cfDNA) ในพลาสมา มีสารกันเลือดแข็งตัวและสารรักษาสภาพ cfDNA ช่วยป้องกันการแตกตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจปนเปื้อน DNA ของแม่เข้ามาในตัวอย่าง เหมาะสำหรับการตรวจ NIPT และการวิเคราะห์ cfDNA อื่น ๆ

 

การใช้งาน EDTA Tube มีข้อจำกัดในส่วนของระยะเวลาที่ต้องแยกพลาสมาภายใน 8 ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน Streck Tube ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงก็ราคาค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน จึงมีการศึกษาการใช้ G Tube ในการเก็บตัวย่างเพื่อให้สามารถเก็บไว้ในระยะที่เพิ่มขึ้นด้วยราคาที่เหมาะสม

มีการรวบรวมตัวอย่างทั้งหมด 79 ตัวอย่างสําหรับการตรวจสอบนี้ ตัวอย่างเลือดถูกเก็บในหลอด G และหลอด EDTA ควบคู่กัน โดยเลือดที่เก็บใน EDTA Tube จะถูกแยกพลาสมาภายใน 8 ชั่วโมงหลังการเก็บเลือด ในขณะที่เลือดใน G Tube จำนวน13 ตัวอย่าง จะถูกแยกพลาสมาใน 2 วัน เลือดใน G Tube 33 ตัวอย่างจะถูกแยกพลาสมาใน 2 ถึง 4 วัน

เลือดใน G Tube 31 ตัวอย่างจะถูกแยกพลาสมาใน 4 ถึง 6 วัน และเลือดใน G Tube 2 ตัวอย่างจะถูกแยกพลาสมาหลังจากผ่านไป 6 วัน ตัวอย่างทดสอบทั้งหมดได้รับการตรวจสอบอุณหภูมิตลอดกระบวนการ การสกัด DNA และการเตรียม library จากตัวอย่าง 79 ตัวอย่าง ทำตามขั้นตอนการตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมในทารกในครรภ์ (T21, T18 และ T13) บน GenoLab M ด้วย SE75 หลังจากการขนส่งเลือดทั้งหมดดูปกติและสีของพลาสมาที่แยกออกจากกันไม่แสดงความผิดปกติที่ชัดเจน

 

Type of transport

Sample size (n)

Average Time (Day)

Minimum temperature (°C)

Maximum temperature

(°C)

Average temperature

(°C)

within 2 days

13

1.4

5.2

38.3

22.1

2 to 4 days

33

3.4

7.3

35.7

21.9

4 to 6 days

31

5.5

10.3

34.6

22.8

Longer than 6 days

2

6.3

2.5

25

25

ตารางที่ 1 อุณหภูมิของตัวอย่างระหว่างการจำลองการขนส่ง

 

รูปที่ 1 ความเข้มข้น Library ของตัวอย่าง

 

ความเข้มข้นของ Libary ของตัวอย่างในหลอดทดลองต่ำกว่าหลอด EDTA ซึ่งเป็น Control เล็กน้อย (ความเข้มข้นเฉลี่ยของตัวอย่างทดสอบคือ 20.43 ng/μL และความเข้มข้นเฉลี่ยของ Control 27.47 ng/μL)

 

 

Control

Test

Compare

UR_Mean(M)

6.9

6.35

-

UR_CV

0.2406

0.1187

-0.1219

GC_Mean(%)

40.25

39.4

-0.85

GC_CV

0.0058

0.0077

0.0019

Rawdata_Mean(M)

10

9.16

-

Maprate_Mean(%)

75.92

76.28

0.36

Fraction_Mean(%)

10.3

10.83

0.53

QC_Failure_Rate(%)

0

0

0

Number_Of_Samples

79

79

-

Number_Of_Female

41

41

0

Number_Of_Male

38

38

0

ตารางที่ 2 การควบคุมคุณภาพของการจัดลําดับ (Quality control of sequencing)

 

เมื่อเทียบกับหลอด Control ปริมาณ GC Content เฉลี่ยของ G Tube ต่ำกว่าประมาณ 0.85% ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ อัตราส่วน Fetal fraction เพิ่มขึ้นเล็กน้อยใน G Tube ผลการตรวจการตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมสอดคล้องกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าเบื้องต้นหลอด G เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบ NIPT ได้เช่นกัน

หลอดเก็บตัวอย่างแต่ละสีมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ โดยเลือกใช้ตามประเภทของการตรวจวิเคราะห์ที่ต้องการ ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เจ้าหน้าที่ทางห้องปฏิบัติการสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากขึ้น สำหรับผู้ป่วย ความรู้เกี่ยวกับหลอดเก็บตัวอย่างเหล่านี้อาจช่วยสร้างความมั่นใจในการรักษา และเข้าใจว่าขั้นตอนต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

Maneesawan Dansawan