หลอดเก็บตัวอย่างเลือดฝาแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างของหลอดเก็บตัวอย่างเลือดแต่ละสีมีความสำคัญและการใช้งานในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ในกระบวนการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ การเก็บตัวอย่างเลือดเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและเชื่อถือได้ การเลือกใช้หลอดเก็บตัวอย่างเลือดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น หลอดเก็บเลือดมีหลายสี ซึ่งแต่ละสีไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม แต่สะท้อนถึงสารเคมีภายในหลอดและวัตถุประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับหลอดเก็บตัวอย่างเลือดแต่ละสี พร้อมทั้งอธิบายถึงความสำคัญและการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ
- หลอดฝาสีแดง (Serum Tube)
หลอดฝาสีแดงเป็นหนึ่งในหลอดเก็บเลือดที่พบได้บ่อยที่สุดในห้องปฏิบัติการ มักใช้สำหรับการตรวจวิเคราะห์ที่ต้องการเซรุ่ม (serum) ซึ่งเป็นส่วนของเลือดที่แยกออกจากเม็ดเลือดแดงและโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด
- สารเคมีภายใน: ไม่มีสารกันเลือดแข็ง (ไม่มี anticoagulant)
- วิธีการทำงาน: เมื่อเจาะเลือดใส่ในหลอดสีแดง เลือดจะถูกปล่อยให้แข็งตัวเองตามธรรมชาติ จากนั้นจึงนำไปปั่นแยกเซรุ่มออกมา
- การใช้งาน:
- การตรวจเคมีในเลือด เช่น ระดับน้ำตาล (glucose), ไขมัน (lipid profile), และเอนไซม์ตับ
- การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor markers) เช่น PSA สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก
- การตรวจระดับฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ (T3, T4, TSH)
- หลอดสีเหลือง (Gel Separator Tube)
หลอดฝาสีเหลืองคล้ายกับหลอดสีแดง แต่มีเจลแยกเซรุ่มอยู่ภายใน ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการแยกเซรุ่มออกจากเม็ดเลือดแดง
- สารเคมีภายใน: เจลแยกเซรุ่มและสารช่วยให้เลือดแข็งตัว (clot activator)
- วิธีการทำงาน: หลังจากปั่นหลอด เจลจะลอยขึ้นมาเป็นชั้นกั้นระหว่างเซรุ่มและเม็ดเลือดแดง ทำให้สามารถแยกเซรุ่มออกมาได้ง่ายขึ้น
- การใช้งาน:
- ใช้สำหรับการตรวจเคมีในเลือดเช่นเดียวกับหลอดสีแดง
- เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการความรวดเร็วในการแยกเซรุ่ม
- หลอดฝาสีม่วง (EDTA Tube)
หลอดฝาสีม่วงเป็นหลอดที่ใช้กันมากที่สุดในการตรวจโลหิตวิทยา (hematology) เนื่องจากสามารถรักษาสภาพของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดได้ดี
- สารเคมีภายใน: EDTA (Ethylenediaminetetraacetic acid) ซึ่งเป็นสารกันเลือดแข็ง
- วิธีการทำงาน: EDTA จะจับกับแคลเซียมในเลือด ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดหยุดลง
- การใช้งาน:
- การตรวจนับเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)
- การตรวจหมู่เลือด (Blood Typing)
- การตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรม เช่น PCR หรือ NGS
- หลอดฝาสีฟ้า (Citrate Tube)
หลอดฝาสีฟ้าเป็นหลอดที่ใช้สำหรับการตรวจระบบการแข็งตัวของเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคทางระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด
- สารเคมีภายใน: Sodium Citrate 3.2% หรือ 3.8%
- วิธีการทำงาน: Sodium Citrate จะจับกับแคลเซียมในเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการแข็งตัว
- การใช้งาน:
- การตรวจ PT (Prothrombin Time) และ APTT (Activated Partial Thromboplastin Time)
- การประเมินความผิดปกติของระบบแข็งตัวของเลือด เช่น โรคฮีโมฟีเลีย
- การติดตามผลของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน
- หลอดฝาสีเขียว (Heparin Tube)
หลอดฝาสีเขียวเหมาะสำหรับการตรวจวิเคราะห์ทางเคมีคลินิก โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้พลาสมาแทนเซรุ่ม
- สารเคมีภายใน: Heparin ซึ่งเป็นสารกันเลือดแข็ง
- วิธีการทำงาน: Heparin จะยับยั้งเอนไซม์ thrombin และ factor X ในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
- การใช้งาน:
- การตรวจแก๊สในเลือด (Arterial Blood Gas: ABG)
- การตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์ เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม
- การตรวจระดับฮอร์โมนบางชนิด
- หลอดฝาสีเทา (Fluoride Tube Fluoride Tube; NaF Tube)
หลอดฝาสีเทาออกแบบมาเพื่อป้องกันกระบวนการ glycolysis ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้ำตาลในเลือดถูกเผาผลาญโดยเซลล์เม็ดเลือดแดงหลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว
- สารเคมีภายใน: Sodium Fluoride และ Potassium Oxalate
- วิธีการทำงาน: Sodium Fluoride จะหยุดกระบวนการ glycolysis เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในตัวอย่างให้นิ่ง
- การใช้งาน:
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar, Glucose Tolerance Test)
- การตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด
- หลอดฝาสีดำ (Erythrocyte Sedimentation Rate Tube; ESR Tube)
หลอดฝาสีเทาออกแบบมาเพื่อป้องกันกระบวนการ glycolysis ซึ่งเป็นกระบวนการที่น้ำตาลในเลือดถูกเผาผลาญโดยเซลล์เม็ดเลือดแดงหลังจากเก็บตัวอย่างแล้ว
- สารเคมีภายใน: Sodium Citrate
- วิธีการทำงาน: Sodium Citrate ทำงานโดยการจับกับแคลเซียมในเลือดและสร้างเป็น calcium citrate ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เลือดเกิดกระบวนการแข็งตัว (coagulation)
- การใช้งาน:
- การตรวจวัดอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงสำหรับการตรวจสอบภาวะอักเสบ เช่น โรคข้ออักเสบ, โรคติดเชื้อ, และโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
นอกเหนือจากหลอดพื้นฐานสำหรับเก็บตัวอย่างข้างต้นแล้ว สำหรับการตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ โดยใช้ cell-free DNA (cfDNA) ที่อยู่ในเลือดของแม่ หลอดเก็บตัวอย่างที่เหมาะสมต้องสามารถ รักษาคุณภาพของ cfDNA (cell-free DNA) ไว้ได้ดี และป้องกันการเสื่อมสภาพของตัวอย่างที่จะนำไปวิเคราะห์ด้วย Next-Generation Sequencing (NGS) การเลือกหลอดเก็บตัวอย่างเลือดที่เหมาะสมมีความสำคัญ หลอดที่เหมาะสมมีดังนี้
หลอดฝาสีม่วง (EDTA Tube)
- สารเคมีภายใน: K2EDTA หรือ K3EDTA
- วิธีการทำงาน: EDTA จะจับกับแคลเซียมในเลือด ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดหยุดลง ช่วยรักษา DNA ให้อยู่ในสภาพดี ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนจากเซลล์เม็ดเลือดแดงที่แตก (Hemolysis)
- การใช้งาน
- ตัวอย่างสามารถเก็บไว้ที่ 4°C ได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนการสกัด DNA
- สามารถใช้เก็บเลือดสำหรับตรวจ cfDNA ได้ แต่ต้องแยกพลาสมาภายใน 8 ชั่วโมง หลังจากเก็บตัวอย่าง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของ DNA จากเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC)
- ไม่เหมาะ ในการขนส่งหรือเก็บตัวอย่างเป็นเวลานาน แต่หากสามารถแยกพลาสมาได้อย่างรวดเร็วภายใน 6 ชั่วโมง ก็สามารถใช้หลอด EDTA ได้
หลอดฝาสีน้ำตาลายดำ (Streck Cell-Free DNA BCT Tube หรือ Streck Tube )
- สารเคมีภายใน: K3EDTA และ สารยับยั้งนิวคลีเอส (Nuclease Inhibitors), สารยับยั้งเมแทบอลิซึม (Metabolic Inhibitors) และสารรักษาสภาพเซลล์ในรูปของเหลว (Cell Preservative)
- วิธีการทำงาน: EDTA จะจับกับแคลเซียมในเลือด ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดหยุดลง Nuclease Inhibitors จะยับยั้งนิวคลีเอสที่ช่วยป้องกันการสลายของ cfDNA โดยเอนไซม์นิวคลีเอส ซึ่งอาจทำให้ cfDNA เสื่อมสภาพ และ Metabolic Inhibitors ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ป้องกันไม่ให้เซลล์เหล่านี้ปล่อย DNA ของแม่ออกมาในตัวอย่าง Cell Preservative สารที่ช่วยรักษาสภาพเซลล์ในตัวอย่าง ช่วยป้องกันการสลายตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว
- การใช้งาน
- ประกอบด้วยสารกันเลือดแข็งตัว K3EDTA, สารยับยั้งนิวคลีเอส, สารยับยั้งกระบวนการเมแทบอลิซึม และสารรักษาสภาพเซลล์ในรูปของเหลว
- ใช้สำหรับเก็บ cell-free DNA (cfDNA) ในพลาสมา เช่น การตรวจ Liquid Biopsy หรือ Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT)
- ป้องกันการแตกของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ซึ่งช่วยลดการปนเปื้อนของ gDNA
- เป็นหลอดที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการเก็บ cell-free DNA (cfDNA) ในพลาสมา มีสารกันเลือดแข็งตัวและสารรักษาสภาพ cfDNA ช่วยป้องกันการแตกตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจปนเปื้อน DNA ของแม่เข้ามาในตัวอย่าง เหมาะสำหรับการตรวจ NIPT และการวิเคราะห์ cfDNA อื่น ๆ
การใช้งาน EDTA Tube มีข้อจำกัดในส่วนของระยะเวลาที่ต้องแยกพลาสมาภายใน 8 ชั่วโมง ในขณะเดียวกัน Streck Tube ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงก็ราคาค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน จึงมีการศึกษาการใช้ G Tube ในการเก็บตัวย่างเพื่อให้สามารถเก็บไว้ในระยะที่เพิ่มขึ้นด้วยราคาที่เหมาะสม
มีการรวบรวมตัวอย่างทั้งหมด 79 ตัวอย่างสําหรับการตรวจสอบนี้ ตัวอย่างเลือดถูกเก็บในหลอด G และหลอด EDTA ควบคู่กัน โดยเลือดที่เก็บใน EDTA Tube จะถูกแยกพลาสมาภายใน 8 ชั่วโมงหลังการเก็บเลือด ในขณะที่เลือดใน G Tube จำนวน13 ตัวอย่าง จะถูกแยกพลาสมาใน 2 วัน เลือดใน G Tube 33 ตัวอย่างจะถูกแยกพลาสมาใน 2 ถึง 4 วัน
เลือดใน G Tube 31 ตัวอย่างจะถูกแยกพลาสมาใน 4 ถึง 6 วัน และเลือดใน G Tube 2 ตัวอย่างจะถูกแยกพลาสมาหลังจากผ่านไป 6 วัน ตัวอย่างทดสอบทั้งหมดได้รับการตรวจสอบอุณหภูมิตลอดกระบวนการ การสกัด DNA และการเตรียม library จากตัวอย่าง 79 ตัวอย่าง ทำตามขั้นตอนการตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมในทารกในครรภ์ (T21, T18 และ T13) บน GenoLab M ด้วย SE75 หลังจากการขนส่งเลือดทั้งหมดดูปกติและสีของพลาสมาที่แยกออกจากกันไม่แสดงความผิดปกติที่ชัดเจน
Type of transport |
Sample size (n) |
Average Time (Day) |
Minimum temperature (°C) |
Maximum temperature (°C) |
Average temperature (°C) |
within 2 days |
13 |
1.4 |
5.2 |
38.3 |
22.1 |
2 to 4 days |
33 |
3.4 |
7.3 |
35.7 |
21.9 |
4 to 6 days |
31 |
5.5 |
10.3 |
34.6 |
22.8 |
Longer than 6 days |
2 |
6.3 |
2.5 |
25 |
25 |
ตารางที่ 1 อุณหภูมิของตัวอย่างระหว่างการจำลองการขนส่ง
รูปที่ 1 ความเข้มข้น Library ของตัวอย่าง
ความเข้มข้นของ Libary ของตัวอย่างในหลอดทดลองต่ำกว่าหลอด EDTA ซึ่งเป็น Control เล็กน้อย (ความเข้มข้นเฉลี่ยของตัวอย่างทดสอบคือ 20.43 ng/μL และความเข้มข้นเฉลี่ยของ Control 27.47 ng/μL)
|
Control |
Test |
Compare |
UR_Mean(M) |
6.9 |
6.35 |
- |
UR_CV |
0.2406 |
0.1187 |
-0.1219 |
GC_Mean(%) |
40.25 |
39.4 |
-0.85 |
GC_CV |
0.0058 |
0.0077 |
0.0019 |
Rawdata_Mean(M) |
10 |
9.16 |
- |
Maprate_Mean(%) |
75.92 |
76.28 |
0.36 |
Fraction_Mean(%) |
10.3 |
10.83 |
0.53 |
QC_Failure_Rate(%) |
0 |
0 |
0 |
Number_Of_Samples |
79 |
79 |
- |
Number_Of_Female |
41 |
41 |
0 |
Number_Of_Male |
38 |
38 |
0 |
ตารางที่ 2 การควบคุมคุณภาพของการจัดลําดับ (Quality control of sequencing)
เมื่อเทียบกับหลอด Control ปริมาณ GC Content เฉลี่ยของ G Tube ต่ำกว่าประมาณ 0.85% ซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ อัตราส่วน Fetal fraction เพิ่มขึ้นเล็กน้อยใน G Tube ผลการตรวจการตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมสอดคล้องกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าเบื้องต้นหลอด G เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบ NIPT ได้เช่นกัน
หลอดเก็บตัวอย่างแต่ละสีมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ โดยเลือกใช้ตามประเภทของการตรวจวิเคราะห์ที่ต้องการ ความเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เจ้าหน้าที่ทางห้องปฏิบัติการสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากขึ้น สำหรับผู้ป่วย ความรู้เกี่ยวกับหลอดเก็บตัวอย่างเหล่านี้อาจช่วยสร้างความมั่นใจในการรักษา และเข้าใจว่าขั้นตอนต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ